tag:blogger.com,1999:blog-54104043968849189702024-02-19T23:35:12.784-08:00คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม. มหิดล Trop Medkendrickammahttp://www.blogger.com/profile/16848768832671468331noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-5410404396884918970.post-1294494924331709222008-10-28T21:36:00.000-07:002008-10-28T23:51:14.388-07:00Trop Med Mahidol University<span style="font-family:georgia;"><strong>ปณิธาน<br /></strong>คณะเวชศาสตร์เขตร้อนเป็นสถาบันวิชาชีพชั้นสูงในมหาวิทยาลัย ให้การศึกษาวิชาเวชศาสตร์เขตร้อน แก่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสนองความต้องการของสังคมด้านสาธารณสุขของประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มุ่งเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานและ วิทยาศาสตร์การแพทย์ประยุกต์ รวบรวม เผยแพร่ และถ่ายทอดความรู้เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการในสาขานี้ ในด้านการบริการชุมชน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ทำการตรวจวินิจฉัยรักษาป้องกันโรคเขตร้อนและส่งเสริมสุขภาพอนามัย คณะเวชศาสตร์เขตร้อนมีจุดมุ่งหมายที่จะปลูกฝัง ให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ในวิชาเวชศาสตร์เขตร้อนสามารถ นำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาสาธารณสุขของชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบท มีความรู้รอบ ความคิดริเริ่ม ใฝ่รู้อยู่เสมอ รอบคอบ รู้จักตนและหน้าที่รับผิดชอบ มีศีลธรรมและเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม<br /><strong>วิสัยทัศน์<br /></strong>Asia's Leader in Tropical Medicine " คณะเวชศาสตร์เขตร้อน เป็นสถาบันชั้นนำทางเวชศาสตร์เขตร้อนในภูมิภาคเอเชีย "<br /><strong>พันธกิจ<br /></strong>1. มุ่งสู่การวิจัยที่เป็นเลิศเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ทางด้านโรคเขตร้อนและการประยุกต์ใช้<br />2. ผลิตและพัฒนาบุคลากรระดับบัณฑิตศึกษาด้านทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และ สาธารณสุขที่มีคุณภาพ คุณธรรมและ จรรยาบรรณทางวิชาชีพในระดับสากล<br />3. ให้บริการวิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในประเทศไทยและประเทศอื่นที่มีปัญหาโรคเขตร้อน<br />4. ทำนุบำรุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม คุณภาพชีวิต และการดำรงชีวิตในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง<br />5. บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้งใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการพัฒนางานวิชาการ การบริการ สังคมและระบบบริหารจัดการ </span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>การบริการด้านโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน</strong></span><br /><span style="font-family:georgia;">มหาวิทยาลัยมหิดล<br /><strong>ไข้เลือดออก Dengue hemorrhagic fever</strong><br /><strong>สาเหตุของโรค</strong><br />เกิดจากไวรัสเดงกีซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อครั้งแรกมักมีอาการไม่รุนแรงแต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่ 2 โดยเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการมักจะรุนแรงถึงขั้นเลือดออกหรือช็อกหรือเสียชีวิต โรคนี้พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่<br /><strong>การติดต่อ<br /></strong>โรคนี้ติดต่อจากคนสู่คน โดยมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุงหลังจากนั้นยุงจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวตลอดชีวิตของยุง (ประมาณ 1-2 เดือน) และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกกัดได้ ยุงลายเป็นมีที่อาศัยอยู่ภายในบ้านและบริเวณบ้านมักจะกัดเวลากลางวัน แหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำใสที่ขังอยู่ตามภาชนะเก็บน้ำต่าง ๆ เช่น โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋อง หม้อ กระถาง ยางรถ เป็นต้น<br />โดยทั่วไปโรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เนื่องจากยุงลายมีการแพร่พันธุ์มาก แต่อาจพบโรคนี้ได้ประปลายตลอดปี ปัจจุบันพบว่ายุงลายสวน (Aedes albopictus) ซึ่งอาศัยอยู่และเพาะพันธุ์ตามสวนนอกบ้านเป็นพาหะนำโรคนี้บ่อยกว่าในอดีต<br /><strong>อาการ<br /></strong>ในการติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่(80-90%) มักไม่แสดงอาการ แต่บางคนมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก มีผื่นที่ผิวหนังได้ แต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่สองโดยเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาจเป็นไข้เลือดออกซึ่งมีอาการสำคัญแบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ<br />ระยะไข้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกือบตลอดเวลา เด็กบางคนอาจชักเนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มักมีหน้าแดง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา ระยะนี้จะเป็นอยู่ราว 2-7 วัน<br />ระยะช็อก ระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง ผู้ป่วยจะซึม เหงื่ออก มือเท้าเย็น ชีพจรเบาแต่เร็ว ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะออกน้อย อาจมีเลือดออกง่า เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ในรายที่รุนแรงจะมีความดันโลหิตต่ำ ช็อกและอาจถึงความตายได้ ระยะนี้กินเวลา 24-48 ชั่วโมง<br />ระยะฟื้น อาการต่าง ๆ จะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะออกมากขึ้น บางรายมีผื่นแดงและมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามลำตัว<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong>เกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกในการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก คือ มีไข้สูง มีเลือดออกง่าย(ทดสอบโดยการรัดแขนและพบจุดเลือดออกที่ผิวหนัง หรือมีจ้ำเลือดตามตัว หรือมีเลือดออกตามร่างกาย เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน) เจ็บชายโครงขวาเนื่องจากตับโต ช็อก เกล็ดเลือดต่ำ เลือดเข้มขึ้น หรือมีน้ำในช่องเยื้อหุ้มปอด สามารถยืนยันการวินิจฉัยโดยการตรวจน้ำเหลืองหรือเพาะเชื้อไวรัสจากเลือด<br /><strong>การรักษา</strong><br />เนื่องจากยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่มีฟทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดโดยให้ยาพาราเซทตามอลในช่วงที่มีไข้สูง ห้ามใช้ยาแอสไพรินเพราะจะทำให้เลือดออกรุนแรงขึ้น ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ยาแก้คลื่นไส้และดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้ครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ป้องกันภาวะช็อกได้ ระยะที่เกิดช็อกส่วนใหญ่จะเกิดพร้อม ๆ กับช่วงที่ไข้ลดลงผู้ปกครองควรทราบอาการก่อนที่จะช็อก คือ อาจมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการกระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็นพร้อม ๆ กับไข้ลดลง หน้ามืด เป็นลมง่าย หากเป็นดังนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที<br /><strong>การป้องกัน</strong><br />ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนกางมุ้งแม้ในเวลากลางวันหรือทายาป้องกันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน รวมทั้งบริเวณรอบ ๆ บ้าน ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน กำจัดภาชนะแตกหักขังน้ำ เช่น ยางรถเก่า กระถาง เลี้ยงปลากินลูกน้ำในอ่างบัวหรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่น ๆ ให้มิดชิด หรือใส่ทรายเคมีกำจัดลูกน้ำ (Temephos) ในภาชนะที่เก็บน้ำไว้ใช้ ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าว<br /></span><a href="http://www.tm.mahidol.ac.th/"><span style="font-family:georgia;">www.tm.mahidol.ac.th</span></a><br /><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>พยาธิตัวจี๊ด โรคพยาธิตัวจี๊ด<br />สาเหตุของโรค</strong><br />โรคพยาธิตัวจี๊ดมีสาเหตุมาจากพยาธิตัวกลมที่มีชื่อเรียกว่า พยาธิตัวจี๊ด และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า แนธโธสโตมา สไปนิจิรุม (Gnathostoma spinigerum)<br />พยาธิมีรูปร่างลักษณะอย่างไร<br />ตัวแก่ของพยาธิทั้งตัวผู้ตัวเมียยาวประมาณ 1.5-3.0 ซม. มีลักษณะลำตัวกลมยาว หัวคล้ายลูกฟักทอง ทั้งหัวและตัวของพยาธิพวกนี้จะมีหนาม ตัวอ่อนของพยาธิในระยะติดต่อลักษณะคล้ายพยาธิตัวเต็มวัยแต่มีหนามน้อยกว่าและมีขนาดเล็กกว่า มักจะขุดพบตัวอยู่ในถุงหุ้มซึ่งฝังตัวอยู่ในเนื้อของสัตว์พาหะ ส่วนพยาธิที่พบในคนจะเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ และมีความยาวประมาณ 0.4-0.9 ซม.<br /><strong>แหล่งระบาดของพยาธิและโรค<br /></strong>ในประเทศไทยมีสัตว์ประมาณ 44 ชนิดที่ตรวจพบว่ามีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิตัวจี๊ดอยู่ ได้แก่ ปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลาไหล ปลาดุก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น กบ สัตว์เลื้อยคลานเช่น ตะกวด สัตว์จำพวกนก รวมทั้งเป็ดและไก่ สัตว์จำพวกหนู กระแต ส่วนสัตว์ที่เป็นรังโรคพยาธิตัวจี๊ดมีหลายชนิด รวมทั้งสุนัขและแมว<br />การสำรวจปลาไหลในเขตจังหวัดภาคกลาง พบว่ามีการกระจายของพยาธิตัวจี๊ดอยู่หลายจังหวัด เช่น อ่างทอง อยุธยา ราชบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี สระบุรี เป็นต้น อาหารที่ปรุงแบบสุก ๆ ดิบ ๆ หรือ อาหารหมักที่ทำมาจากปลาน้ำจืด เช่น ส้มฟัก ปลาร้า ปลาเจ่า หรือ เนื้อสัตว์อื่น ๆ อาจพบว่ามีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิตัวจี๊ดอยู่เช่นกัน<br /><strong>วงจรชีวิต</strong><br />ตัวแก่ของพยาธิทั้งตัวผู้ตัวเมียจะอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของสุนัขและแมว หลังจากพยาธิผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมากับอุจจาระของสัตว์เหล่านี้ เมื่อไข่ลงน้ำจะฟักตัวออกมาเป็นตัวอ่อนระยะที่ 1 ตัวกุ้งไร (Cyclops) จะกินตัวอ่อนระยะนี้และไปเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่ 2 เมื่อปลากินไรกุ้งที่มีพยาธิ พยาธิจะเจริญในปลาเป็นตัวอ่อนระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะติดต่อ ถ้าสุนัขและแมวกินปลานี้เข้าไป พยาธิก็จะไปเจริญเป็นตัวแก่ในกระเพาะอาหาร แต่ถ้าคนกินปลาซึ่งมีพยาธิระยะติดต่อเข้าไป พยาธิก็จะคืบคลานหรือไชไปตามอวัยวะต่าง ๆ ยังไม่มีรายงานว่าพยาธินี้เจริญเป็นตัวแก่จนสามารถออกไข่ได้ในคน<br /><strong>การติดต่อ</strong><br />โรคที่เกิดจากพยาธิตัวจี๊ดนี้ สามารถติดต่อได้ในคนทุกเพศทุกวัย โดยการกินตัวอ่อนระยะติดต่อที่ปะปนอยู่ในเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุกโดยเฉพาะปลาน้ำจืด หรืออาจติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์โดยไชผ่านทางรกนอกจากนี้พยาธิยังสามารถไชเข้าทางผิวหนังบริเวณที่เป็นแผล โดยเฉพาะในบางคนที่ใช้เนื้อสัตว์สด ๆ เช่น กบ ปลา พอกแผล เพื่อทำให้หายเร็วขึ้น<br /><strong>อาการ<br /></strong>อาการที่พบบ่อยที่สุกคือ อาการที่เกิดจากพยาธิไชอยู่ใต้ผิวหนัง ตามลำตัว แขน ขา และบริเวณใบหน้า ทำให้ บวม แดงบริเวณนั้น หรือเห็นเป็นรอยทางแดง ๆ ตามแนวที่พยาธิไชผ่านไป อาการบวมแดงนี้ จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปเองแม้ไม่ได้รับการรักษา หลังจากนั้นอาจบวมขึ้นมาใหม่ในบริเวณอื่น ๆ ใกล้กัน แถบเดียวกัน บางครั้งทำให้เกิดเป็นก่อนคล้ายเนื้องอกตามอวัยวะต่าง ๆ นอกจากที่ผิวหนังแล้ว พยาธิอาจไชไปอวัยวะสำคัญอื่น ๆ เช่น ตา ปอด กระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะถ้าไปที่สมองจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ปวดตามเส้นประสาทได้<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong>การจะบอกว่าเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดแน่นอน ต้องตรวจพบตัวพยาธิ ซึ่งอาจจะไชออกมาทางผิวหนังเอง แต่โดยทั่วไปมักไม่พบพยาธิแม้ผ่าเข้าไปในบริเวณที่บวม ดังนั้นการที่จะบอกว่าเป็นโรคนี้ จึงมักดูจากอาการของโรคว่ามีอาการเจ็บ ปวด บวมเคลื่อนที่หรือไม่ และเจาะเลือดหรือน้ำไขสันหลังเพื่อตรวจด้วยวิธีทางอิมมิวโนวินิจฉัย<br /><strong>การรักษา<br /></strong>โดยทั่วไปจะรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดบวม ยาแก้แพ้แก้คัน เป็นต้น ยารักษาโรคพยาธิชนิดที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ คือ อัลเบนดาโซ ขนาด 400-800 มิลลิกรัม วันละครั้งหรือ 2 ครั้งเป็นเวลา 21 วันติดต่อกัน การใช้ยาควรอยู่ในความดูแลของแพทย์<br /><strong>การป้องกัน</strong><br />ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สุก ๆ ดิบ ๆ เช่น อาหารประเภทยำ ลาบ หมก พล่า รวมทั้งปลาร้า ปลาเจ่าส้มฟัก ไม่ใช้เนื้อสด โดยเฉพาะเนื้อกบ ปลา พอกบริเวณบาดแผล ให้ความรู้เรื่องสาเหตุและการป้องกันโรคพยาธิแก่ประชาชน<br />ขอรับคำปรึกษาและตรวจรักษาได้ที่ โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล</span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>โรคมาลาเรีย มาลาเรีย ไข้จับสั่น หรือไข้ป่า<br /></strong>เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียม เชื้อที่ทำให้เกิดโรคในคนมี 4 ชนิด คือ ฟัลซิปารัม ไวแวกซ์ มาลาเรียอี และ โอวาเล เชื้อมาลาเรียที่พบบ่อยในประเทศไทย คือ ชนิดฟัลซิปารัม และไวแวกซ์<br />ฟัลซิปารัม จะก่อให้เกิดอาการรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้ ส่วนชนิดไวแวกซ์และโอวาเล สามารถซ่อนอยู่ในตับได้นานและออกสู่กระแสเลือดได้ในภายหลังทำให้กลับเป็นโรคซ้ำได้อีก<br /><strong>แหล่งระบาด</strong><br />แหล่งระบาดของมาลาเรียอยู่ตามจังหวัดชายแดน โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นภูเขาสูง ป่าทึบ และมีแหล่งน้ำ ลำธาร อันเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ของยุงก้นปล่อง<br />จังหวัดที่พบผู้ป่วยมาลาเรียส่วนใหญ่ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก ตราด ระนอง กาญจนบุรี จันทบุรี สระแก้ว ประจวบคิรีขันธ์ ราชบุรีและชุมพร(แหล่งที่มากรมควบคุมโรค)<br /><strong>การติดต่อ<br /></strong>การติดต่อสู่คนโดยการถูกยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีเชื้อมาลาเรียกัด<br /><strong>วงจรชีวิต<br /></strong>1.เชื้อมาลาเรียที่กระเพาะอาหาร<br />2.เชื้อมาลาเรียระยะติดต่อในต่อมน้ำลายของยุง<br />3.ระยะที่เชื้ออยู่ในตับคน<br />4.เชื้อมาลาเรียถูกปล่อยจากตับเข้าสู่กระแสเลือด<br />5.เชื้อมาลาเรียชนิดมีเพศ<br /><strong>อาการ<br /></strong>หลังจากได้รับเชื้อมาลาเรียประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการนำคล้ายกับเป็นหวัด คือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารได้ ลักษณะเฉพาะของโรคที่เรียกว่า ไข้จับสั่น คือ มีอาการหนาวสั่น ไข้สูงและตามตัวมีเหงื่อออก จะพบได้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong>โดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อมาลาเรีย<br /><strong>การรักษา</strong><br />มาลาเรียเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับกากรวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็วและได้รับการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพ ตรงตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ<br />การซื้อยารักษาด้วยตนเอง หรือกินยาไม่ครบอาจทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา หรือทำให้เป็นโรครุนแรงขึ้นและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้<br /><strong>การป้องกัน<br /></strong>เมื่อจะต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีแหล่งระบาดของมาลาเรียควรป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด ดังนี้<br />1.สวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิด ควรใช้เสื้อผ้าสีอ่อน ๆ<br />2.ทายากันยุง<br />3.นอนในมุ้ง (ถ้าใช้มุ้งชุมน้ำยา จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน)<br />4.ถ้านอนในห้องที่มีมุ้งลวด ควรพ่นยากันยุงก่อน<br />**ในประเทศไทยไม่แนะนำให้กินยาป้องกัน เนื่องจากมีปัญหาดื้อยาและอาจมีผลข้างเคียง ถ้ามีอาการไข้และสงสัยว่าเป็นโรคมาลาเรีย ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ มีไข้ เข้าไปในแหล่ง หวดระแวงไข้ป่า โปรดปรึกษา เวชศาสตร์เขตร้อน<br /></span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>สครับไทฟัส Scrub Typhus</strong><br /> สครับไทฟัส (Scrub Typhus) หรือไข้ไรอ่อน เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มของโรคไข้รากสากใหญ่ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ ในกลุ่มของริคเคทเซีย (Rickettsiae) ที่มีชื่อว่า โอเรียนเซีย ซึซึกามูชิ (Orientia tsutsugamushi) เชื้อชนิดนี้เจริญเติบโตได้ต้องอาศัยอยู่ภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หนูหรือสัตว์ฟันแทะเป็นรังโรคที่สำคัญ เนื่องจากสัตว์เหล่านี้อาจมีเชื้ออยู่ในเลือดโดยไม่มีอาการ จึงแพร่โรคไปที่ต่าง ๆ ได้ง่าย เชื้อในตัวไรนี้สามารถถ่ายทอดจากไรตัวเมียที่ติดเชื้อไปสู่ไรอ่อนรุ่นต่อไป<br /><strong>การติดต่อ<br /></strong>โรคนี้ติดต่อจากสัตว์มาสู่คนโดยการถูกตัวไรอ่อน(Chigger)ที่มีเชื้อนี้กัด<br /><strong>วงจรการติดโรค</strong><br />โดยปกติตัวไรอ่อนจะกัดและดูดเลือดจากหนูหรือสัตว์ฟันแทะเป็นอาหาร ถ้าสัตว์นั้นมีเชื้ออยู่เชื้อจะเข้าไปสู่กระแสเลือดแล้วไปเจริญเติบโตที่ต่อมน้ำลายของไรอ่อนและแพร่สู่หนูตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้บริเวณนั้นเป็นรังโรคที่มีเชื้อซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานาน คนที่ถูกไรอ่อนที่มีเชื้อกัดจึงเป็นโรคสครับไทฟัสได้<br /><strong>แหล่งระบาด<br /></strong>ในประเทศไทยมีรายงานตรวจพบผู้ป่วยจากทุกภาคบริเวณที่ไรอ่อนชอบอาศัยอยู่ ได้แก่ ทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ สวนและไร่นาต่าง ๆ หรือบริเวณริมแม่น้ำ ดังนั้นกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค ได้แก่ ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน เกษตรกร นักท่องเที่ยว หรือ คณะนักสำรวจป่า โรคนี้มักจะพบบ่อยในฤดูฝนมากกว่าฤดูอื่น ๆ<br /><strong>อาการ<br /></strong>ระยะฟักตัวของโรคอยู่ระหว่าง 7-21 วันหลังจากได้รับเชื้อ อาการที่สำคัญ คือ มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะมาก ไอ ตาแดง และต่อมน้ำเหลืองโต หลังจากเป็นไข้ 5-7 วัน อาจพบผื่นแดงปรากฏอยู่ 2-3 วัน แล้วจะจางหายไป ถ้าตรวจร่างกายให้ละเอียด อาจพบจุดแผลที่ถูกไรอ่อนกัดซึ่งมีลักษณะคล้ายแผลจากการถูกบุหรี่จี้ขนาดประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร เรียกว่าเอสคาร์ (eschar) ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องผู้ป่วยจะมีไข้สูงนาน 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นบางรายอาจหายป่วยได้เอง แต่จะมีผู้ป่วยบางส่วนมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่น สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดบวม เป็นต้น ซึ่งอาจถึงตายได้<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong>อาศัยประวัติและอาการของผู้ป่วย ตรวจพบแผลที่ถูกไรอ่อนกัดหรือรอยผื่นแดงตามลำตัว การวินิจฉัยที่แน่นอนทำได้โดยเจาะเลือด เพื่อตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดีต่อโรคนี้ในห้องปฎิบัติการ เลือดคนปกติที่ไม่มีแอนติบอดี เลือดของผู้ป่วยที่มีแอนติบอดี<br /><strong>การรักษา<br /></strong>โรคนี้รักษาหายได้ โดยใช้ยาปฏิชีวนะที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์<br /><strong>การป้องกัน</strong><br />1.ควรใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดและทายากันแมลง ขณะเดินทางเข้าไปในแหล่งที่มีไรอ่อนอาศัยอยู่<br />2.ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์รังโรค โดยเฉพาะหนู<br />3.ให้ความรู้เรื่องสาเหตุและการป้องกันโรคนี้แก่ประชาชน<br />ชุดตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อสครับไทฟัส<br />ผลิตโดยคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่<br />โทร. 02-246-9000-12 ต่อ 1595<br /><em>ตระเวนทุ่งหญ้าป่าละเมาะคราใด ระวังเป็นไข้จากไรอ่อนกัด<br />มีแผลคล้ายบุหรี่จี้ชี้ชัด เป็นโรคสครับไทฟัสแน่นอน<br />หากสงสัยควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง<br />เพราะอาจเกินภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้</em></span><br /><span style="font-family:georgia;"></span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>โรคพยาธิหอยโข่ง Angiostrongylosis</strong><br />โรคพยาธิหอยโข่ง เป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมที่มีชื่อว่า แองจีโอสตรองจิลัส แคนโตเนนซิส<br />(Angiostrongylus cantonensis) ซึ่งตามปกติเป็นพยาธิที่อาศัยอยู่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนู<br /><strong>รูปร่างลักษณะ</strong><br />พยาธิตัวเต็มวัยมีรูปร่างเรียว ยาวประมาณ 2-3 ซม ตัวเมียจะมีลายเป็นเกลียวขาวสลับดำอยู่ในตัว ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าและที่หางจะมีแผ่นบาง ๆ เล็ก ๆ แผ่ออกมา<br /><strong>แหล่งระบาดของโรคพยาธิ</strong><br />โรคพยาธิหอยโข่งพบได้ทุกภาคในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกฉียงเหนือ ในกลุ่มประชาชนที่ชอบรับประทานหอยน้ำจืดดิบ ๆ สุก ๆ<br /><strong>วงจรชีวิต<br /></strong>พยาธิตัวเต็มวัยทั้งสองเพศจะอาศัยอยู่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนู พยาธิตัวเมียจะออกไข่ในหลอดเลือดระยะที่ 1 ปนออกมากับมูลหนู ตัวอ่อนระยะนี้ไชเข้าหอยทากหรือหอยน้ำจืด เช่น หอยโข่ง(หอยปัง) หอยขม หอยเชอรี่ แล้วเจริญจนเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อ เมื่อหนูกินหอย พยาธิจากหอยจะเข้าไปในสมองหนู เจริญต่อไปเป็นพยาธิตัวแก่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนูและออกไข่ซึ่งจะพัฒนาต่อไปตามวงจรชีวิต หากคนรับประทานหอยดิบ ๆ สุก ๆ ซึ่งมีพยาธิระยะติดต่อ พยาธิจะเข้าสู่ระบบประสาท เช่น สมอง ไขสันหลัง หรือตา<br /><strong>พยาธิติดต่ออย่างไร<br /></strong>ติดต่อโดยการรับประทานอาหารดิบ ๆ สุก ๆ ที่ทำมาจากสัตว์พาหะที่มีพยาธิระยะติดต่อ เช่น หอยน้ำจืด หอยบก หอยทาก กุ้งหรือปูน้ำจืด หรือตะกวด นอกจากนี้พยาธิอาจปนเปื้อนมากับน้ำดื่ม ผักและผลไม้สด<br /><strong>อาการ<br /></strong>หลังจากรับประทานอาหารที่มีพยาธิระยะติดต่อเข้าไป 1-4 สัปดาห์ จะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ในรายที่มีอาการุนแรงจะปวดศีรษะมาก คอแข็ง หลังแข็ง ชัก อาจเป็นอัมพาต ซึม หมดสติ หรือตายได้ ถ้าพยาธิไชเข้าตา ตาอาจจะอักเสบ มัว และบอดได้<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong>1.วินิจฉัยจากอาการทางคลินิกเบื้องต้น<br />2.จากประวัติการรับประทานอาหารดิบ ๆ สุก ๆ เช่น หอยพาหะ กุ้ง และสัตว์พาหะอื่น ๆ<br />3.ตรวจพบพยาธิในน้ำไขสันหลังหรือจากตา<br />4.ตรวจพบเม็ดเลือดขาวชนิดอิโอซิโนฟิลจำนวนมากในน้ำไขสันหลัง<br />5.ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อพยาธิโดยวิธีอิมมิวโนวินิจฉัย<br /><strong>การป้องกัน</strong><br />1.ไม่รับประมานอาหารดิบ ๆ สุก ๆ พืชผักผลไม้หรือน้ำที่ไม่สะอาด<br />2.ควบคุมหนูและหอยพาหะ<br />3.ให้สุขศึกษาถึงการระบาด การติดเชื้อและการป้องกัน<br /><strong>การรักษา<br /></strong>พบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง</span><br /><span style="font-family:georgia;"></span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>ไข้สมองอักเสบ เจอี (Japanese encephalitis)<br /></strong> เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเจอีที่สมอง โดยมีพาหสำคัญคือ ยุงรำคาญ ชนิด Culex tritaeniorrhnchus ซึ่งมักแพร่พันธุ์ในนาข้าว โรคนี้เป็นโรคสมองอักเสบชนิดที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย<br /><strong>การติดต่อ<br /></strong>โรคนี้มีหมูเป็นรังโรค เชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนในหมูอย่างรวดเร็วโดยหมูไม่มีอาการป่วย เมื่อยุงรำคาญชนิดที่เป็นพาหะมากัดและดูดเลือดหมู ไวรัสจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในตัวยุง ซึ่งจะสามารถแพร่โรคไปให้คนหรือสัตว์ที่ถูกกัดได้ เช่น ม้า วัว ควาย แพะ แกะ และนก เป็นต้น<br /><strong>วงจรชีวิต<br />แหล่งระบาด<br /></strong>โรคนี้มีรายงานครั้งแรกจากประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันพบโรคในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ในประเทศไทยพบโรคนี้ได้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการทำนาร่วมกับการเลี้ยงหมู พบผู้ป่วยมากในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มุกดาหาร กำแพงเพชร สมุทรสาคร และน่าน<br /><strong>อาการ<br /></strong>ผู้ที่ได้รับเชื้ออาจมีหรือไม่มีอาการป่วยก็ได้ ประมาณว่าผู้ติดเชื้อ 300 คน อาจป่วยเป็นโรคนี้ได้ 1 คน ผู้ป่วยมักแสดงอาการหลังได้รับเชื้อ 5-15 วัน ในระยะแรกจะมีไข้สูง อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ซึ่งจะกินเวลา 1-7 วัน (ส่วนใหญ่ 2-3 วัน) หลังจากนั้น จะมีอาการทางสมอง เช่น คอแข็ง สติสัมปชัญญะเลวลง ซึม เพ้อคลั่ง ชัก หมดสติ หรือ อาการรุนแรงอาจถึงตายได้ในระยะนี้ (อัตราตายร้อยละ 15-30 ของผู้ป่วย) หลังจากนั้นไข้จะค่อย ๆ ลดลงสู่ปกติ และอาการทางสมองจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่รอดชีวิตจะยังมีความผิดปกติทางสมองอยู่ เช่น เกร็ง อัมพาต ชัก ปัญญาอ่อน หงุดหงิดง่าย พูดไม่ชัด เป็นต้น<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong>การวินิจฉัยจากประวัติการอยู่อาศัย หรือการเข้าไปในแหล่งระบาดของโรค อาการและการตรวจร่างกายของผู้ป่วย การวินิจฉัยที่แน่นอนทำได้โดยการเจาะเลือดและน้ำไขสันหลัง เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสและภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสเจอี<br /><strong>การรักษา<br /></strong>เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงมุ่งรักษาตามอาการและป้องกันโรคแทรกซ้อนในระยะที่มีอาการทางสมอง<br /><strong>การป้องกัน</strong><br />หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ได้ใช้วัคซีนป้องกันโรคนี้ พบว่าผู้ป่วยในประเทศดังกล่าวลดลงอย่างมาก วัคซีนป้องกันโรคที่มีใช้ในประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นวัคซีนที่ผลิตจากไวรัสที่ทำให้ตายแล้ว ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง รวม 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกฉีดห่างกัน 1 สัปดาห์ และครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่ 2 นาน 1 ปี ปัจจุบันองค์การเภสัชสามารถผลิตวัคซีนได้ และกระทรวงสาธารณสุขมีโครงการที่จะฉีดให้เด็กตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปทุกคน<br />สำหรับการป้องกันอื่น ๆ เช่น กำจัดยุง ป้องกันไม่ให้ยุงกัด และควบคุมการเลี้ยงหมูเป็นไปได้ยากเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม มีการทำนาและเลี้ยงหมูอยู่ทั่วไป<br />ผู้ที่จะเข้าไปในแหล่งระบาดของโรค และไม่เคยได้รับวัคซีน ควรได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยครั้งหลังควรได้รับก่อนเข้าไปในแหล่งระบาด 2 สัปดาห์<br /><strong>ขอรับคำปรึกษาและตรวจรักษาได้ที่ โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล</strong></span><br /><span style="font-family:georgia;"></span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>โรคฉี่หนู Laptospirosis<br /></strong> ไข้ฉี่หนู เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียที่มีรูปร่างเป็นเกลียว มีชื่อว่า เลปโตสไปรา (Laptospira) จึงเรียกชื่อโรคนี้ว่าเลปโตสไปโรซิส (Laptospirosis) เชื้อนี้ทำให้เกิดโรคในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว สุกร โค กระบือ แพะ ม้า แกะ ฯลฯ และที่สำคัญคือ หนู แต่สัตว์ต่าง ๆ อาจไม่แสดงอาการป่วย<br /><strong>การติดต่อ<br /></strong>โรคนี้เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยสัตว์ที่เป็นโรคนี้จะขับถ่ายเชื้อโรคออกมากับปัสสาวะ เชื้อจะอาศัยอยู่ได้ในดินที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขัง และเข้าสู่คนทางผิวหนังอ่อน เช่น ซอกนิ้วมือนิ้วเท้า บากแผลหรือเยื่อเมือก ดังนั้นมักจะพบโรคนี้ในคนทำงานเกี่ยวกับสัตว์ เช่น สัตวบาล เกษตรกร และผู้มีอาชีพสัมผัสน้ำหรือคนที่ย่ำน้ำในที่น้ำท่วมขังนาน ๆ<br /><strong>วงจรชีวิต<br /></strong>สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เชื้อโรคออกมากับปัสสาวะ สิ่งแวดล้อม<br /><strong>แหล่งระบาด</strong><br />โรคนี้พบมากในเขตร้อนหรือเขตมรสุม เพราะมีสภาพอาการที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของเชื้อ และมีสัตว์ที่เป็นรังโรคอยู่ชุกชุม ในประเทศไทยโรคนี้กระจายอยู่ทั่วประเทศและมีรายงานพบผู้ป่วยมากในภาคอิสาน<br /><strong>อาการ<br /></strong>คนที่ได้รับเชื้ออาจมีหรือไม่มีอาการในผู้ที่มีอาการมักแสดงอาการหลังได้รับเชื้อ 2-3 วัน จนถึง 2-3 สัปดาห์ อาการที่สำคัญคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น่อง ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยยางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง ไตวาย หรืออาการทางสมองและระบบประสาท และอาจถึงได้(อัตราการตายอาจสูงถึงร้อยละ 10-40 )<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong>โดยการซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของโรค อาการป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดและปัสสาวะของผู้ป่วย<br /><strong>การรักษา<br /></strong>โรคนี้หากรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ โดยให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะโรคจะได้ผลดีกว่าปล่อยให้มีอาการรุนแรงแล้วจึงรักษาเนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เอง เพราอาจเป็นอันตรายจากการแพ้ยา หรือใช้ยาที่ไม่ถูกต้องได้ดังนั้นควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง<br /><strong>การป้องกัน<br /></strong>*การป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยไม่เดินย่ำหรือแช่อยู่ในน้ำท่วมขัง<br />ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ป้องกันการสัมผัสน้ำโดยใช้รองเท้าบู้ทยาง ถุงมือยาง เป็นต้น<br />*ควรฉัดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยงเพื่อไม่ให้เป็นรังโรค<br />*กำจัดหนู และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้สะอาดถูกสุขลักษณะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของหนู<br />ย่ำน้ำท่วมขัง ควรระวังโรคฉี่หนู ถ้าสงสัยให้แพทย์ดู มัวช้าอยู่อาจถึงตาย</span><br /><span style="font-family:georgia;"></span><br /><div align="left"><span style="font-family:georgia;"><strong>โลหะหนัก บริการตรวจ<br /></strong>โลหะหนักคืออะไร<br /> โลหะหนักเป็นธาตุที่พบได้ตามธรรมชาติ ทั้งบริเวณผิวของเปลือกโลก น้ำ อากาศ บางธาตุมีประโยชน์ต่อขบวนการเผาผลาญอาการภายในร่างกายมนุษย์ เช่น ทองแดง(Copper) ซิลีเนียม(Selenium) เหล็ก(Iron) และสังกะสี(Zinc) แต่ในทางกลับกัน บางธาตุทำให้เกิดภาวะเป็นพิษได้ เมื่อร่างกายมนุษย์ได้รับในปริมาณที่สูง เช่น สาตะกั่ว(Lead) โครเมียม(Chromium) นิกเกิล(Nickel) สารหนู(Arsenic) สารปรอท(Mercury) และโคบอลท์(Cobolt)<br /><strong>โลหะหนักเข้าสู่ร่างกายมนุษย์อย่างไร<br /></strong> โลหะหนัก มีอนุภาคเล็กมาก จึงสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ โดยการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หายใจ และการสัมผัส<br /><strong>มนุษย์ได้รับโลหะหนักจากไหน<br /></strong> จากการทำเหมืองแร่ การทิ้งของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานทำแบตเตอรี่ สารเคมี สีย้อม พลาสติก และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด โลหะหนักที่พบมักเป็นสารปรอท ตะกั่ว แคดเมียม เงิน ทองแดง สังกะสี เหล็ก แมงกานีส โคบอลท์ สารเหล่านี้สามารถสะสมและถ่ายทอดไปตามห่วงโซ่อาหารในสัตว์น้ำ ซึ่งจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนถึงระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้<br /><strong>อาการ<br /></strong> อาการโดยทั่วไปจากการได้รับโลหะหนักจนถึงระดับที่เป็นพิษ คือ มีอาการทางผิวหนัง ความจำเสื่อม ความดันเลือดสูง อารมณ์แปรปรวน มีความผิดปกติในการนอนหลับ เหนื่อยง่าย นอกจากนี้โลหะหนักยังเข้าไปขัดขวางการทำงานของเอนไซม์บางชนิดภายในเซลล์ ทำให้การทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมน ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติรวมถึงขัดขวางการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก<br /><strong>การวินิจฉัย<br /></strong> โดยการซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงในการได้รับโลหะหนัก อาการป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจเลือด น้ำเหลือง ปัสสาวะของผู้ป่วย<br /><strong>การรักษา<br /></strong> ผู้ป่วยที่ตรวจพบปริมาณโลหะหนักในร่างกายระดับสูงควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง<br /><strong>การบริการตรวจวิเคราะห์</strong><br /> โดยใช้วิธี Graphite Furnace Atomic Absorption Spectrometry<br /><strong>การควบคุมคุณภาพ</strong><br /> ใช้วิธีการ ตรวจวิเคราะห์ มีการควบคุมคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ตะกั่วในเลือดได้เข้าร่วมการประเมินสถานภาพกับกลุ่มงานพิษวิทยาและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งผลการประเมินอยู่ในเกณฑ์เป็นที่ยอมรับ<br /><strong>ค่าบริการตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนัก<br /></strong>โลหะหนัก ค่าบริการตรวจวิเคราะห์( บาท/ตัวอย่าง)<br />ตะกั่ว 250<br />โครเมียม 250</span></div><div align="left"><span style="font-family:georgia;">แคดเมียม 250<br />ทองแดง 250<br />แมงกานีส 250<br />สังกะสี 250<br />นิกเกิล 250<br />ซิลีเนียม 300</span></div><div align="left"><span style="font-family:georgia;">เลือด/น้ำเหลือง 250<br />ปัสสาวะ 250<br />น้ำเสีย/อากาศ 250<br />**หมายเหตุ ทองแดง สังกะสี และซิลีเนียม ใช้น้ำเหลืองในการวิเคราะห์<br />สอบถามรายระเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โครงการการตรวจหาปริมาณโลหะหนัก หน่วยเครื่องมือกลาง<br />โทร.02-354-9100-19 ต่อ 2051-4</span></div><span style="font-family:georgia;"></span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ องค์ประธาน<br />กองทุนช่วยเหลือประชาชนปลอดโรคเขตร้อน The Tropical Disease Trust Fund TDTF</strong><br /><strong>ประวัติความเป็นมา<br /></strong> โครงการ”กองทุนช่วยเหลือประชาชนปลอดโรคเขตร้อน” ก่อตั้งขึ้นจากความร่วมมือของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัย Bresca ประเทศอิตาลี และสถาบันวิจัยโรคเขตร้อนและโรคติดเชื้อ Marselle ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 โดยได้รับทุนช่วยเหลือครั้งแรกในการควบคุมโรคมาลาเรียจากประชาคมยุโรปเป็นเงินประมาณ 3 ล้านบาท ในพื้นที่ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นเขตแดนประเทศไทยติดกับประเทศพม่า หลังจากโครงการนี้เสร็จสิ้นลงไปในปี พ.ศ. 2539 คณะเวชศาสตร์เขตร้อนได้เล็งเห็นว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมีประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป จึงสนับสนุนงบประมาณจากเงินรายได้คณะฯ และงบวิจัยอันจำกัด เพื่อให้โครงการนี้ได้ดำเนินต่อไป แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและขาดเงินสนับสนุนจากต่างประเทศนั้น ทำให้โครงการนี้ไม่อาจดำเนินต่อไปในระยะยาวได้ ซึ่งถ้าโครงการนี้ถูกยกเลิก ประชาชนในพื้นที่รวมทั้งทหารและตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมาลาเรียจะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลชุมชนหรือที่หน่วยควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลงของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปอีกกว่า 30 กิโลเมตร ประชาชนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นดังกล่าวจึงได้ขอร้องให้คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ดำเนินงานโครงการต่อไปโดยเมื่อความเดือดร้อนดังกล่าวทราบถึง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ องค์อุปถัมภ์มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน จึงได้ทรงพระกรุณาประทานเงินจาก “ทุนการกุศลสมเด็จย่า” จำนวน 300,000 บาท เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 เพื่อเป็นเงินก้นถุงซึ่งเจ้าหน้าที่ของคณะฯและผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมบริจาคสมทบอีกเป็นจำนวนทั้งสิ้น 686,700 บาท และทรงพระอนุญาตให้มีการจัดตั้ง “กองทุนช่วยเหลือประชาชนปลอดโรคเขตร้อน” ขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม<br />พ.ศ. 2541 และรับเป็นองค์ประธานกองทุนฯ โดยมีคณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งเป็นประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนเป็นรองประธานกองทุนฯ เพื่อบริหารจัดการเงินกองทุนฯ ในการสนับสนุนกิจการต่าง ๆ ของโครงการวิจัยด้านโรคเขตร้อน การพัฒนาโครงสร้างระดับพื้นฐานของประชากรเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเงิน จำนวน 50 ล้านบาท โครงการดังกล่าวจึงสามารถดำเนินการต่อไปโดยใช้เงินดอกผลจากกองทุนฯ แต่เนื่องจากสถานที่ที่ใช้เป็นที่ปฏิบัติการวิจัยและบริการทางสุขภาพแก่ประชาชนนั้น เป็นบ้านเช่าค่อนข้างคับแคบเกินกว่าที่จะรองรับโครงการต่าง ๆ ที่บ้านห้วยม่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดกอปรกับในปี พ.ศ. 2542 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการควบคุมโรคปรสิตแห่งเอเชีย(Asian Center of International Parasite Controlหรือ ACIPAC) ขึ้นที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน เพื่อร่วมมือกันทำโครงการวิจัย ฝึกอบรม ให้กับนักศึกษาและบุคลากรทางการแพทย์ โดยให้ความช่วยเหลือด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ และใช้สถานีวิจัยมาลาเรียแห่งนี้เป็นที่ฝึกอบรม คณะฯ จึงดำริที่จะก่อสร้างอาคารเพื่อเป็นสำนักงานถาวรและเป็นศูนย์ฝึกอบรมภาคสนามแห่งใหม่ ซึ่งกรมป่าไม้และกองทัพบก ได้ให้ความอนุเคราะห์จัดสรรที่ดินให้ปริมาณ 5 ไร่ บนพิกัดที่ NQ 295795 พื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากที่ทำการเดิมออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร และเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม และไม่ห่างไกลจากกลุ่มบ้านมากนัก ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนค่าก่อสร้างอาคารจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอีก 10 ล้านบาท ส่วนการก่อสร้างนั้น ได้รับการอนุเคราะห์จากกองทัพภาคที่ 1 โดยกองพลพัฒนาที่ 1 และได้ส่งมอบงานก่อสร้างอาคารดังกล่าวในวงเงินทั้งสิ้น 18,075,144.60 บาท ให้กับกองทุนฯ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 โดยที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ องค์ประธานกองทุนฯ ทรงลงนามในหนังสือตรวจรับงาน และได้ทรงพระกรุณาประทานชื่ออาคารแห่งใหม่ว่า “ศูนย์โรคเมืองร้อนนานาชาติราชนคริทร์ (Rajanagaridra Tropical Disease International Centre หรือ RTIC)” ซึ่งกองทุนฯ สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จลุล่วง ตามวัตถุประสงค์ ณ ศูนย์ RTIC แห่งนี้<br /><strong>วัตถุประสงค์ของกองทุน<br /></strong>ให้การรักษาและให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเขตร้อนแก่ประชาชนที่ยากไร้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ<br />ทั้งสิ้น ศึกษาค้นคว้าหาวิธีวินิจฉัย การรักษา และป้องกันโรคเขตร้อนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บริการแก่<br />ผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป ศึกษาและเฝ้าระวังโรคเขตร้อนต่าง ๆ ในพื้นที่ที่มีการกระจายของโรคสูง<br />ให้ความรู้เบื้องต้นในการป้องกันโรคเขตร้อนแก่ประชาชน โดยเฉพาะในแหล่งที่มี โรคเขตร้อนชุกชุม<br />สอนและฝึกอบรมภาคสนามแก่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะในชนบทหรือบริเวณที่มีโรคเขตร้อนชุกชุม เพื่อจะได้นำความรู้ไปใช้ในการรักษาพยาบาลและป้องกันโรคแก่ประชาชนในพื้นที่ต่อไป<br /><strong>กิจกรรมของกองทุน<br /></strong>ปัจจุบันการดำเนินงานของกองทุนช่วยเหลือประชาชนปลอดโรคเขตร้อน เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการในภาคสนาม(Field-based) ณ ศูนย์โรคเมืองร้อนนานาชาติราชนครินทร์ บ้านห้วยม่วง หมู่ที่ 3 ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี 70180<br /><strong>ติดต่อบริจาคได้ที่<br /></strong>คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โทรศัพท์ 02-354-9100-19<br />สำนักงานคณบดี ต่อ 1321-2 ภาควิชาสุขวิทยาเขตร้อน ต่อ 1682-3<br />หน่วยประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์/โทรสาร 02-354-9143<br />ศูนย์ RTIC บ้านห้วยม่วง หมู่ที่ 3 ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี 70180<br />โทรศัพท์ 032-329-218</span><br /><span style="font-family:georgia;"></span><br /><span style="font-family:georgia;"><strong>คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน<br /></strong> โรคเขตร้อน ป้องกันได้ โดยสร้างสุขภาพอนามัยที่ดีแก่ตัวคุณและครอบครัว<br /><strong>วิสัยทัศน์</strong> บำบัดโรคเขตร้อนเป็นเลิศ วิชาการก้าวไกล วิจัยดีเด่น เป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย<br />โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน สังกัดคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มให้บริการรักษาพยาบาล เมื่อปี พ.ศ. 2504 ปัจจุบันสามารถรับผู้ป่วยได้ 250 เตียง โดยให้บริการตรวจรักษาโรคเขตร้อน เช่น มาลาเรีย ไข้เลือดออก โรคไวรัสตับอักเสบ โรคพยาธิ โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา รวมทั้งโรคระบบทางเดินอาหาร โรคของผู้สูงอายุ โรคผิวหนัง โรคไต และทางเดินปัสสาวะ ให้บริการเวชศาสตร์ทางเลือก เช่น คลินิกฝังเข็ม การนวดแผนไทย<br /><strong>การให้บริการของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน</strong><br /><strong>คลินิกตรวจโรคทั่วไป<br /></strong>บริการตรวจรักษามาลาเรีย โรคพยาธิ ทางอายุรกรรมทั่วไป และโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น ไข้เลือดออก โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจสุขภาพไปประเทศฝรั่งเศส<br /><strong>คลินิกพยาธิตัวจี๊ด</strong><br />บริการตรวจรักษาและให้คำแนะนำในการป้องกันโรคพยาธิตัวจี๊ด<br /><strong>คลินิกโรคไตและทางเดินปัสสาวะ</strong><br />บริการตรวจรักษา ให้คำแนะนำในการดูแล ป้องกันและชะลอการเกิดโรคไต ไตวาย ไตอักเสบ และโรคของระบบทางเดินปัสสาวะ มีศูนย์ไตเทียมที่เปิดให้บริการล้างไตทุกวัน<br /><strong>คลินิกโรคระบบทางเดินอาหารและโรคตับ<br /></strong>บริการตรวจรักษาโรคระบบทางเดินอาหาร โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้ใหญ่ โรคริดสีดวงทวาร โรคตับ และตับอ่อน รวมทั้งการตรวจด้วยวิธีการส่องกล้อง(Endoscopy)<br /><strong>คลินิกโรคปอด</strong><br />บริการตรวจรักษาโรคทางเดินหายใจและตรวจสมรรถภาพปอด<br /><strong>คลินิกโรคภูมิแพ้<br /></strong>บริการตรวจรักษาโรคภูมิแพ้ และทดสอบภูมิแพ้<br /><strong>คลินิกโรคหู คอ จมูก<br /></strong>บริการตรวจรักษาโรคหู คอ จมูก และตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (Audiogram)<br /><strong>คลินิกสุขภาพเด็ก<br /></strong>บริการตรวจสุขภาพเด็กตั้งแต่อายุแรกเกิด พร้อมทั้งให้คำแนะนำและให้วัคซีนสำหรับเด็ก<br /><strong>คลินิกโรคผิวหนัง<br /></strong>บริการตรวจรักษาโรคผิวหนังทั่วไป และการรักษาด้วยเลเซอร์<br /><strong>คลินิกสุขภาพผู้สูงอายุ<br /></strong>บริการตรวจสุขภาพและรักษาโรคสำหรับผู้สูงอายุ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคอายุรกรรมอื่น ๆ พร้อมทั้งให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี<br /><strong>คลินิกกายภาพบำบัด<br /></strong>ให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย<br /><strong>คลินิกเวชศาสตร์แผนไทย<br /></strong>บริการรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ข้อไหล่ติด คอเคล็ด ฯลฯ โดยการนวดแผนไทย และประคบสมุนไพร<br /><strong>Travel Clinic</strong><br />บริการให้คำปรึกษาแก่นักท่องเที่ยว ฉีดวัคซีน และ ตรวจรักษาโรคเมืองร้อนต่าง ๆ<br /><strong>คลินิกเวชศาสตร์แผนจีน<br /></strong>บริการฝังเข็มเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้อและกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดศีรษะ ไม่เกรน เครียด อัมพาต อัมพฤกษ์ ภูมิแพ้ฯลฯ<br /><strong>บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ<br /></strong>ให้บริการตรวจเลือด อุจจาระ และสิ่งส่งตรวจอื่น ๆ เพื่อการวินิจฉัยโรคเขตร้อน<br />วินิจฉัยโรคมาลาเรีย ปราบผลภายใน 1 ชั่วโมง ตรวจเพื่อหาการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ไวรัสตับอักเสบ โรคพยาธิ และโรคติดเชื้ออื่น ๆ ตรวจเพื่อประเมินสุขภาพร่างกายทั่วไป ตรวจอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิและตัวอ่อนพยาธิ *นำอุจจาระที่ถ่ายใหม่ ขนาดประมาณ หัวแม่มือ บรรจุในภาชนะที่สะอาด (ถ้าสังเกตเห็นตัวพยาธิให้นำมาด้วย)<br /><strong>ตารางการออกตรวจของแพทย์<br /></strong>* คลินิกโรคทางอายุรกรรมทั่วไป จันทร์- ศุกร์ 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคทางอายุรกรรมในเด็ก จันทร์- ศุกร์ 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคตับ จันทร์- พฤหัสบดี 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคผิวหนัง จันทร์, ศุกร์ 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคไตและทางเดินปัสสาวะ จันทร์, พุธ 09.00-12.00 น.<br />* ตรวจสุขภาพไปประเทศฝรั่งเศส จันทร์- ศุกร์ 09.00-16.00 น.<br />* คลิกนิกโรคหู คอ จมูก จันทร์ 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคพยาธิตัวจี๊ด จันทร์, พุธ, ศุกร์ 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคทางเดินอาหาร อังคาร 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคปอด อังคาร 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกสุขภาพผู้สูงอายุ อังคาร 09.00-12.00 น.<br />* คลินิกโรคภูมิแพ้ อังคาร 13.00-16.00 น.<br />* คลินิกเวชศาสตร์แผนไทย ทุกวัน 08.00-20.00 น.<br />* คลินิกเวชศาสตร์แผนจีน จันทร์- ศุกร์ 09.000-12.00 น.<br />* คลินิกกายภาพบำบัด จันทร์- ศุกร์ 09.00-16.00 น.<br />***พักตรวจระหว่าง 12.00-13.00 น.***โรคมาลาเรีย โรคพยาธิ หายขาดแน่.... แค่ไป ร.พ.เวชศาสตร์เขตร้อน</span><br /><span style="font-family:georgia;"></span>kendrickammahttp://www.blogger.com/profile/16848768832671468331noreply@blogger.com0